วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จระเข้น้ำเค็ม

จระเข้น้ำเค็ม






ชื่อไทย จระเข้น้ำเค็ม, จระเข้ตีนเป็ด, ไอ้เคี่ยม
ชื่อสามัญ SALTWATER CROCO
ชื่อวิทยาศาสตร์ Crocodylus porosus

จระเข้น้ำเค็มเป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเป็นจระเข้หนึ่งในสามที่พบในประเทศไทย โดยทั่วไปเมื่อโตเต็มที่มีความยาวไม่เกิน 4 เมตร แต่ขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกมีความยาวมากกว่า 9 เมตร ถิ่นที่พบเห็นมักพบในเขตน้ำกร่อย ตามปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน แต่ต้องเป็นน้ำนิ่งและลึกพอสมควร ลักษณะแตกต่างจากจระเข้น้ำจืด ลำตัวยาวมีลักษณะค่อนข้างกลม ท้องแบนราบ ขามี 2 คู่ใช้สำหรับเดินและวิ่ง ขาคู่หน้าไม่ค่อยแข็งแรง มีนิ้ว 5 นิ้ว ขาคู่หลังมีลักษณะแข็งแรงกว่าและมีเพียง 4 นิ้วมีพังผืดระหว่างนิ้วตีนมากกว่าจระเข้น้ำจืด บางครั้งจึงเรียกว่าจระเข้ตีนเป็ด จะงอยปากยาวและส่วนปลายค่อนข้างแหลม มีฟันประมาณ 60 ซี่ ลักษณะแตกต่างจากจระเข้น้ำจืดคือไม่มีเกล็ด 4 เกล็ดที่ท้ายทอย ปากยาวกว่าจระเข้น้ำจืดอย่างเห็นได้ชัด มีสันเล็กๆยื่นจากลูกตาไปตามความยาวของส่วนหัวจนถึงตำแหน่งของปุ่มจมูก หรือที่เรียกว่าก้อนขี้หมา ลำตัวออกสีเหลืองอ่อน และมีการเรียงตัวที่ส่วนหาง ดูคล้ายตาหมากรุก จระเข้น้ำเค็มส่วนใหญ่จะมีนิสัยดุร้าย
ลักษณะนิสัย
มีนิสัยดุร้ายมาก กินคนเป็นอาหารได้ อาศัยอยู่ในที่ลุ่ม หนอง บึง และแม่น้ำที่ไม่มีบ้านเรือนตั้งอยู่

ความแตกต่างของเพศผู้และเพศเมีย
ส่วนที่สังเกตได้ชัดเจนคือ ลำตัว จระเข้น้ำเค็มตัวผู้จะมีลำตัวผอมยาว ตัวเมียจะมีลำตัวอ้วนสั้นกว่า ขนาดตัวโดยรวมตัวเล็กกว่าตัวผู้ที่อายุเท่ากัน หาง จระเข้น้ำเค็มตัวผู้จะมีหางยาวกว่าจระเข้ตัวเมีย หัวตัวผู้ระยะห่างของโหนกหลังตาจะกว้างกว่าหัวของตัวผู้ดูป้อมสั้นส่วนตัวเมียจะดูหัวยาวเรียวกว่า

การผสมพันธุ์
เพศผู้จะถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 16 ปี ส่วนเพศเมียถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 10 ปี แต่จะให้ไข่ที่สมบูรณ์เมื่ออายุ 12 ปี มีขนาดยาว 2.2 เมตร มีการผสมพันธุ์ในฤดูร้อนและวางไข่ในฤดูฝน ครั้งละ 25-90 ฟอง การวางไข่จะใช้เวลาประมาณ 20-25 นาที ใช้ระยะเวลาในการฟักไข่ประมาณ 80 วัน ขนาดของไข่จระเข้น้ำเค็มจะใหญ่กว่าจระเข้น้ำจืดเล็กน้อย มีน้ำหนักประมาณ 110-120 กรัม

บ่อเลี้ยง
การคำนวณพื้นที่บ่อ ใช้หลักการคือ พื้นที่ต่อตัว = ความยาวจระเข้ x 3เท่าของความยาวจระเข้ อัตราส่วนพื้นที่บกเท่ากับพื้นที่น้ำ หรืออย่างน้อย 2 ใน 3 ของพื้นที่น้ำ ความลึกของน้ำอย่างน้อย 60 ซม. กั้นขอบบ่อด้วยซีเมนต์สูง 1.2 เมตร ส่วนพื้นที่บ่อเป็นซีเมนต์ขัดเรียบหรือไพเบอร์กลาส เพื่อมิให้จระเข้เป็นรอยขีดข่วน ป้องกันการติดเชื้อและหนังเสียราคา

การฟักไข่
อัตราการฟักของจระเข้น้ำเค็มในสภาพการเลี้ยงมีประมาณ 40-50% และมีอัตราการตายแรกเกิดสูงมาก โดยเฉพาะในปีแรกมีอัตราการตายสูงถึง 20-30% และในการฟักไข่คนเลี้ยงต้องคอยสังเกตให้ดี ถ้าเห็นว่ามีการวางไข่แล้ว ภายใน 24 ชั่วโมงต้องเก็บไข่ไปฟักทันที โดยนำไข่จระเข้มาล้างเมือกให้สะอาด นำเข้าตู้ฟักที่มีความชื้นสัมพัทธ์ในระดับ 95-99% ต่ำกว่านี้ไม่ได้เพราะไข่จะแห้งตัวอ่อนจะตายเพราะขาดน้ำ อีกทั้งจะต้องกำหนดอุณหภูมิให้อยู่ในระดับ 30-31 องศาเซลเซียส เพราะอุณหภูมิมีผลต่อการกำหนดเพศจระเข้ และระยะเวลาการฟักไข่ ถ้าอุณหภูมิอยู่ในช่วงดังกล่าวลูกจระเข้ที่ฟักออกมาจะเป็นตัวผู้และตัวเมียเท่าๆกัน แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านั้นส่วนใหญ่จะออกมาเป็นตัวเมียและใช้เวลาฟักนาน แต่ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านั้นส่วนใหญ่จะฟักออกมาเป็นตัวผู้ และใช้เวลาสั้นกว่าปกติ ที่จะใช้เวลาประมาณ 75 วันจึงจะฟักออกเป็นตัว
ลูกจระเข้ที่ได้รับการดูแลดีจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ปีแรกมีความยาวประมาณ 1 เมตร ปีที่สองยาวประมาณ 1-5 เมตร ซึ่งในระยะสองปีแรกนี้น้ำหนักตัวของลูกจระเข้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 50% ของน้ำหนักอาหารที่ได้รับ และปีที่สามลำตัวจะยาวประมาณ 2 เมตรและมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 25-30%

อาหารที่ใช้เลี้ยง
ในช่วง 7 วันแรกลูกจระเข้จะยังอาศัยอาหารจากถุงไข่แดงที่หน้าท้องอยู่ แต่หลังจากนั้นต้องให้อาหารที่มีสารอาหารสูง เช่น เนื้อปลา กุ้ง หมู ไก่สับ และสัตว์มีชีวิตพวกลูกปลา ลูกกบ กุ้ง โดยต้องให้อาหารทุกวันๆละ 5-10% ของน้ำหนักตัว ซึ่งจะทำให้ลูกจระเข้เจริญเติบโตดีและรวดเร็ว
หลังจากนั้นอาหารที่ใช้เลี้ยงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะะสมตามวัยคือ
อายุ 1-3 เดือน ให้อาหารจำพวกลูกปลา หรือลูกกบที่มีชีวิต
อายุ 4-6 เดือน ให้อาหารผสมเป็นลูกปลาลูกกบที่มีชีวิต 3 ส่วนกับเนื้อไก่ เนื้อหมูไม่ติดมัน ผสมวิตามินอีก 7 ส่วน
อายุ 7-12 เดือน ให้เนื้อไก่ เนื้อหมูไม่ติดมันผสมวิตามิน
หลังจากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นอาหารผสม โดยใช้โครงไก่ผสมกับวิตามิน 3 ส่วน ปลาน้ำเค็ม 1 ส่วน กับไก่ทั้งตัวติดกระดูกแต่เลาะมันและเครื่องในออกให้หมด 6 ส่วนและต้องให้ตับเป็นอาหารเสริมทุกเดือนๆละ 2 ครั้งด้วย ส่วนจระเข้พ่อแม่พันธุ์จะไม่ให้อาหารมากนัก โดยให้ 2 อาทิตย์ต่อครั้งๆละ 2 กิโลกรัมเท่านั้น เพราะถ้าอ้วนเกินไปจระเข้จะผสมติดยาก

โรคของจระเข้
โรคในจระเข้พอจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
โรคไม่ติดเชื้อ เกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้
1. สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสม
1.1 อุณหภูมิ จระเข้เป็นสัตว์เลือดเย็น ไม่สามารถสร้างแหล่งความร้อนได้ด้วยตัวเองจำเป็นต้องใช้แหล่งพลังงานความร้อนจากภายนอก คือ แสงแดด ในการเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกาย เช่นนอนอาบแดดและใช้การแช่น้ำ นอนหลบใต้เงา หรืออ้าปากเพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย ทั้งนี้อุณหภูมิที่เหมาะสมสบายตัวกับจระเข้ขนาดเล็กจะอยู่ในช่วง 32 องศาเซลเซียส และสำหรับจระเข้ขนาดใหญ่จะอยู่ในช่วง 30 องศาเซลเซียส
ผลของอุณหภูมิที่สูงมากเมื่อเกิน 39 องศาเซลเซียสขึ้นไปสามารถทำให้จระเข้ตาย ส่วนใหญ่มักเกิดกับปัญหาของอุณหภูมิต่ำมากกว่าเพราะจะทำให้เกิดผลเสียคือ ไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์ซึ่งอยู่ในท้องของแม่จระเข้จะตาย จระเข้จะเบื่ออาหาร เมื่ออากาศหนาวเย็นทำให้การเจริญเติบโตช้าลง โอกาสติดเชื้อแทรกซ้อนเกิดได้สูงเพราะภูมิต้านทานของร่างกายลดลง ฯลฯ
1.2 คุณภาพของน้ำ จระเข้ใช้ชีวิตอยู่ในน้ำ ระยะเวลาสัมผัสกับน้ำต่อวันแล้วเกินกว่าครึ่งหนึ่งเพื่อปรับอุณหภูมิที่สูงให้ต่ำลง และผสมพันธุ์ในน้ำ เพราะฉะนั้นน้ำที่เหมาะสำหรับจระเข้ที่สุดคือ น้ำสะอาด มีปริมาณแอมโมเนียต่ำ สิ่งปฏิกูล สารพิษ หรือสิ่งปลอมปนอื่น ๆ ต้องมีน้อยที่สุด แหล่งน้ำเสียจะเป็นแหล่งสะสมของเศษอาหารและสิ่งขับถ่ายซึ่งทำให้มีแก๊สแอมโมเนียสูงขึ้น จะเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและตาจระเข้เป็นอย่างมาก โอกาสติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่มีอยู่มากในแหล่งน้ำจึงมีสูง การจะให้น้ำสะอาดอยู่เสมอควรจะต้องมีการถ่ายน้ำให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้จำเป็นต้องได้รับการตรวจคุณภาพน้ำอยู่เป็นระยะ ๆ บางแห่งเปลี่ยนน้ำทุกวัน จึงพบว่าอัตราการเจริญเติบโตของจระเข้เป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนน้ำด้วยว่า ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เอะอะโครมครามจนเกิดความตื่นตกใจแก่จระเข้และเพิ่มความเครียดขึ้นได้
1.3 จำนวนจระเข้ในบ่อเลี้ยง จำนวนจระเข้หรือประชากรจระเข้ที่เลี้ยงในแต่ละบ่อ จำเป็นต้องมีสัดส่วนที่พอเหมาะกับขนาดบ่อเลี้ยง หากจระเข้แออัดเกินย่อมทำให้เกิดการต่อสู้แก่งแย่งอาหารกัน อาจเกิดแผลและเกิดโรคติดเชื้อบนผิวหนังได้ง่าย นอกจากนี้อาจทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง มีอัตราการผสมติดต่ำ เพราะเกิดการแก่งแย่งในการผสมพันธุ์และการกดขี่ตามสำดับขั้น รวมถึงการจับหรือการขนย้ายจะทำได้ลำบากขึ้น
1.4 สถานที่เลี้ยง อาจมีแตกต่างกันไปเช่น บ่อน้ำธรรมชาติ บ่อดิน บ่อซีเมนต์ จนไปถึงอ่างไฟเบอร์กลาส ฯลฯ แตกต่างกันไปตามฐานะทางเศรษฐกิจ วัตถุประสงค์ของการเลี้ยง และเทคโนโลยีของแต่ละฟาร์ม แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงคือ
ก. ขนาด ความต้องการพื้นที่ของจระเข้หนึ่งตัวคือ ขนาดของจระเข้ คูณ 3 เท่า ของความยาวของจระเข้ มีอัตราส่วนพื้นที่บกเท่ากับพื้นน้ำ หรืออย่างน้อย 2 ใน 3 ของพื้นที่น้ำ ส่วนความลึกของน้ำอย่างต่ำ 60 เซนติเมตร
ข. พื้นผิว เนื่องจากจระเข้เป็นสัตว์ที่คลานบนดินและใต้น้ำ โอกาสสัมผัสกับพื้นผิวจึงมีเกือบตลอดเวลา ฉะนั้นความเรียบหรือหยาบของพื้นผิวจึงมีความสำคัญ เพราะสามารถทำให้หนังท้องจระเข้เกิดรอยขีดข่วนจนถึงบาดเจ็บ และมีการติดเชื้อเกิดขึ้นได้ ราคาหนังจระเข้จะตกลงหากมีตำหนิดังกล่าวเกิดขึ้น พื้นผิวซีเมนต์ขัดเรียบจึงเหมาะกว่าพื้นผิวอย่างอื่น
ค. ร่มเงา แม้จระเข้ชอบใช้แสงแดดเป็นแหล่งพลังงานความร้อนแก่ร่างกาย แต่ถ้าความร้อนสูงเกินไป จระเข้ก็ต้องการที่หลบแดด โดยอาศัยร่มเงาซึ่งอาจเป็นต้นไม้, หลังคา หรือวัสดุกรองแสงต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นเงาให้เกิดความเย็นบนพื้นผิวที่จระเข้นอนด้วย

2. อาหารไม่เหมาะสม
อาหารที่ให้ควรจะมีความสมดุลย์ในทุก ๆ อย่างทั้งปริมาณและคุณภาพ หากสองสิ่งนี้มีมากหรือน้อยเกินไป จะขาดความสมดุลย์ในสารอาหารและองค์ประกอบต่าง ๆ ทำให้เกิดปัญหาและโรคต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

2.1 โรคเก๊าท์ (gout) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการใช้โปรตีนในร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมของเกลือยูเรท (urate salt) และผลึกของกรดยูริก (uric acid crystal) ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ โปรตีนจะถูกย่อยสลาย และผลิตผลขั้นสุดท้ายจะเป็นพวกกรดยูริก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์
สาเหตุ
ก. จระเข้ที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่มีโปรตีนสูงซึ่งมีจำนวนกรดนิวคลีอิคมากอันได้แก่ เครื่องในสัตว์ หัวใจ ตับ ม้าม ไต ฯลฯ
ข. จระเข้ที่ป่วยด้วยโรคไต เช่น ไตวาย กรวยไตอักเสบจากสาเหตุต่างๆ ทั้งติดเชื้อแบคทีเรีย หรือได้รับยาที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อไตเป็นระยะเวลานานหรือขนาดสูง เช่น เจนต้ามัยซิน กานามัยซิน ดังนั้นประสิทธิภาพการกรองของเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดยูริกและเกลือยูเรทจะเเสื่อมไป จนทำให้สารสองตัวนี้มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นและไปสะสมตามอวัยวะต่างๆ
ค. อุณหภูมิต่ำหรือขาดแหล่งให้ความร้อน ประสิทธิภาพการกรองเอากรดยูริกและเกลือยูเรทออกด้วยไตจะลดลงมากเมื่ออุณหภูมิต่ำ ( 20 - 25 องศาเซลเซียส ) ก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดเก๊าท์
ง. น้ำไม่เพียงพอหรือขาดน้ำ ทำให้ลดการขับหรือหยุดการขับกรดยูริกและเกลือยูเรทจากร่างกายปนออกไปกับของเสียชนิดอื่นๆ
จ. เนื่องมาจากขาดวิตามินเอ
อาการ
ก. เคลื่อนที่ช้าลงจนไม่เคลื่อนไหว เริ่มจากขาหลังไม่มีแรง จนสุดท้ายขยับไม่ได้ทั้ง 4 ขา
ข. ซึม เบื่ออาหาร
ค. บวมตามข้อแสดงอาการอับเสบแดงพบในชนิดเก๊าท์เข้าข้อ
ง. ตายโดยไม่แสดงอาการ มักพบในชนิดเก๊าท์ของอวัยวะภายใน
ร่องรอยที่เห็นด้วยตาเปล่า
เมื่อผ่าตามข้อที่บวมจะเห็นของเหลวข้นสีขาวคล้ายครีมเป็นจำนวนมาก หากใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูจะเห็นผลึกของกรดยูริคและเกลือยูเเรทเป็นรูปเข็มจำนวนมาก
ส่วนกรณีเก๊าท์ของอวัยวะภายในจะพบว่าเเเยื่ออหุ้มหัวใจหนาตัวมีสีขาวคล้ายชอล์คเกาะอยู่และสามารถพบได้ที่ผิวตับ ม้าม และในไตจะมีจุดสีขาวอยู่ทั่วไป
การป้องกันและรักษา
ก. แก้ไขอาหารให้ถูกต้อง โดยลดโปรตีนที่มีกรดดนิวคลีอิคสูงและเสริมโปรตีนจากแหล่งอื่นเช่น เนื้อสัตว์อื่นๆ เป็ด ไก่ทั้งตัว
ข. ระมัดระวังการใช้ยาที่มีผลต่อไตโดยตรง
ค. เลี้ยงจระเข้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกจระเข้ไม่ควรเลี้ยงที่อุณหภูมิต่ำ
ง. จัดหาน้ำให้เพียงพอ
จ. ป้องกันการขาดวิตามีนเอ โดยจัดเสริมลงในอาหารประจำวัน
ฉ. การรักษาโรคเก๊าท์ในจระเข้ไม่ได้ผลและไม่คุ้มค่า จึงจำเป็นต้องเน้นการป้องกันจะดีกว่า

2.2 อาการขาดวิตามิน
อาหารที่ขาดวิตามินหรือมีจำนวนไม่เพียงพอเกิดขึ้นได้จาก
ก. วิตามินถูกทำลายด้วยความร้อนเนื่องจากการเก็บอาหารไม่ดีพอหรือให้อาหารทิ้งตากแดดไว้
ข. วิตามินถูกทำลายด้วยเอ็นไซม์บางชนิดที่ทำงานเมื่ออาหารได้รับความร้อน
ค. อาหารนั้นๆขาดวิตามินอยู่แล้ว
โรคหรืออาการที่เกิดจากการขาดวิตามินต่าง ๆ มีดังนี้
ก. ขาดวิตามินเอ มักเกิดจากจระเข้ที่ถูกเลี้ยงด้วยเนื้อแดงล้วน ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ ทั้งนี้เพราะ เนื้อแดงจะมีปริมาณวิตามินเอไม่เพียงพอ จระเข้ที่ขาดวิตามินเอจะเจริญเติบโตช้า ผิวหนังหยาบกร้าน มีอาการบวมน้ำทั่วไปทั้งตัวจนดูคล้ายกับอ้วน เปลือกตาและเบ้าตาอักเสบออกมาโดยรอบ และมีน้ำตาไหล ตามลำตัวหากใช้นิ้วกดจะบุ๋มเป็นรอยกดลง มีการคืนตัวช้ากว่าปกติ อาจมีเม็ดตุ่มเกิดขึ้นและเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราแทรกซ้อนได้ง่าย เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างงกายลดต่ำลง
การแก้ไข จะต้องให้อาหารชนิดอื่นสับเปลี่ยนกันไป เช่น เนื้อติดหนังและมัน เป็ดหรือไก่ทั้งตัว ฯลฯ ควรเสริมวิตามินเอลงในอาหารด้วยขนาด 4,850 หน่วยสากล ต่ออาหาร 1 กิโลกรัมต่อวัน
ข. ขาดวิตามินบี 1 การให้ปลาอย่างเดียว ปลาไม่สดหรือปลาเริ่มเน่า หรือวิธีให้อาหารอย่างไม่ถูกต้อง วางทิ้งตากแดดไว้ให้จระเข้มากิน จะก่อให้เกิดอาการขาดวิตามินบี 1 จระเข้จะแสดงอาการน้ำหนักลดลงทั้ง ๆ ที่กินอาหารได้ อาจจะมีอาการหัวใจขยายใหญ่ร่วมกับลำไส้อักเสบ บางครั้งอาจแสดงอาการชัก การแก้ไข ควรให้กินวิตามินนี้ในอาหารด้วยขนาด 4.4 ถึง 11 มิลลิกรัม รวมทั้งเปลี่ยนอาหารหรือเสริมอาหารชนิดอื่น พร้อมทั้งแก้ไขวิธีการให้อาหารด้วย
ค. ขาดวิตามินดี สาเหตุเกิดจากอาหารที่เลี้ยงขาดวิตามินดี หรือขาดการตากแดดเท่าที่ควร อาการขาดวิตามินดีจะมีผลต่อการใช้แคลเซียมในร่างกายสัตว์ อันจะทำให้เกิดอาการของกระดูกอ่อนตามมา ขาทั้งสี่มีรูปทรงผิดไป อาจโค้งเข้าหรือแบะออก ข้อขาโตขึ้น สัตว์จะแสดงอาการซึม เบื่ออาหาร ข้อขยายใหญ่ ผิวหนังนุ่ม การแก้ไขควรจัดสถานที่เลี้ยงให้ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ พร้อมกับเสริมวิตามันดี 608 หน่วยสากล ต่ออาหารหนึ่งกิโลกรัมต่อวัน การให้วิตามินนี้มากเกินไปก็เกิดผลเสียได้เช่นกัน
ช. ขาดวิตามินอี โรคนี้มักมีความเกี่ยวข้องกับประเภทของอาหารที่ใช้เลี้ยงจระเข้ ส่วนใหญ่พบในจระเข้ที่เลี้ยงด้วยปลาอย่างเดียวโดยเฉพาะปลาแช่แข็ง เนื่องจากปลามีระดับกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวในปริมาณสูง และวิตามินอีในระดับต่ำ สัตว์จะแสดงอาการกล้ามเนื้อเหี่ยว ไม่กระฉับกระเฉง เซื่องซึม หมดแรง เบื่ออาหาร นอนอยู่กับที่ หรือตายในที่สุด จระเข้ที่เป็นโรค ไขมันแทบทุกส่วนที่พบและมองเห็นได้ตามร่างกายจะมีสีเหลืองเข้มแกมน้ำตาล แข็งตัวคล้ายสบู่เกือบทั้งตัว โดยเห็นเด่นชัดบริเวณส่วนหลัง สำตัว ส่วนหาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันใต้ผิวหนังและก้อนไขมันในช่องท้อง เมื่อใช้แสงอุลตร้าไวโอเลตส่องจะสามารถเรืองแสงได้ ซึ่งทำให้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโรคไขมันเหลือง (Yellow fatdisease) การป้องกันโรคนี้ อย่าให้จระเข้กินแต่ปลาอย่างเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ควรให้อาหารโปรตีนจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ สลับบ้าง เช่น ไก่และหมู ถ้าต้องการให้จระเข้กินปลาระยะเวลานาน ๆ ควรเสริมวิตามินอีในอาหารเข้าไปด้วยขนาด 15 - 100 หน่วยสากลต่อตัวต่อวัน ส่วนการรักษามักไม่ได้ผล ดังนั้นการป้องกันจึงนับได้ว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ซ. ขาดแร่ธาตุ ปัญหาการขาดแร่ธาตุที่พบได้มากในจระเข้คือการขาดแคลเซียม อันเป็นการทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน สาเหตุก็เพราะกินอาหารที่มีอัตราส่วนแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสไม่เหมาะสม เช่น เนื้อแดงล้วน ๆ และขาดวิตามินดี ทำให้ร่างกายนำแคลเซียมไปใช้ไม่ได้ อาการที่เด่นชัดมากคือ กระดูกบริเวณขากรรไกรล่างจะนิ่มผิดปกติขาโก่งงอ แนวกระดูกสันหลังบิดคดโก่ง กระดูกบาง หักง่าย เปลือกไข่บางและแตกง่าย การป้องกันสามารถทำได้โดยให้กินอาหารที่มีสัดส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสเท่ากับ 1.2 ต่อ 1 ซึ่งอาจใช้เสริมในอาหาร แคลเซียมที่ใช้มักให้ในรูปแคลเซียมแลคเตท แต่ถ้าจระเข้นั้นอยู่ในระยะกำลังวางไข่หรือลูกจระเข้กำลังเจริญเติบโต ควรเพิ่มสัดส่วนแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสขึ้นไปด้วย 2 ต่อ 1 ก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมให้วิตามินดีด้วย เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียมไปใช้ ปกติเสริมขนาด 100 หน่วยสากล ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม อาทิตย์ละครั้ง

3. อาการแคระแกรน
เกิดได้กับลูกจระเข้อายุ 6 - 8 อาทิตย์ ลูกจระเข้จะมีอาการเจริญเติบโตเมื่อดูจากน้ำหนักและความยาวลำตัวต่ำกว่าลูกจระเข้ตัวอื่น ๆ ที่เลี้ยงในรุ่นเดียวกัน ลูกจระเข้จะไม่กินอาหารเซื่องซึม ผอมลง มีบางตัวที่ยังกินอาหารตามปกติ แต่ขนาดคงเดิม สาเหตุของการแคระแกรนยังไม่เป็นที่แจ้งชัด แต่อาจพอสันนิษฐานได้ว่า เป็นผลสืบเนื่องมาจากพันธุกรรม ความผิดปกติแต่กำเนิด สภาพแวดล้อม อาหาร และเชื้อโรค ซึ่งมักมีความเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน การป้องกันโรคนี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จนัก เท่าที่พอช่วยลูกจระเข้ได้โดยการป้อนอาหารสำเร็จรูปผ่านท่อลงไปยังกระเพาะอาหาร ส่วนผสมของอาหารได้แก่ ปลาบดละเอียดทั้งตัว 250 กรัม ผสมน้ำสะอาด 250 มิลลิลิตร และเติมวิตามินรวมชนิดเข้มข้น 1 มิลลิลิตร ป้อนอาหารเหลวนี้ด้วยขนาด 250 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักตัวจระเข้ 1 กิโลกรัม อาทิตย์ละ 2 วัน พร้อมทั้งฉีดยาวิตามินอีและซิลีเนียมให้เดือนละครั้ง

4. ความพิการแต่กำเนิด
ลักษณะความพิการที่เป็นมาแต่กำเนิด เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ หลังคด หางด้วน ไข่แดงไม่เข้าท้อง ผนังหน้าท้องไม่ปิด ไม่มีลูกตา ฯลฯ เหล่านี้มักเกิดจากการจัดการไม่ดี มี 3 กรณีคือ
4.1 พันธุกรรม หมายถึงการผสมพันธุ์ในสายเลือดชิด เช่น พ่อผสมลูก ลูกผสมแม่ ฯลฯ ไม่มีการจัดการเรื่องสายพันธุ์ที่แน่ชัดเนื่องจากปล่อยเลี้ยงบ่อรวมกันจำนวนมากทำให้ไม่สามารถควบคุมการผสมพันธุ์ได้ จึงเกิดปัญหาตามมา
4.2 การจัดการฟักไข่ที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกวิธี ความชื้นไม่พอหรือความร้อนสูงเกินไป มีผลทำให้ไข่แดงไม่เข้าท้อง เกิดความพิการต่าง ๆ นานาได้เสมอ
4.3 สารพิษบางชนิดตกค้างมากับอาหารที่ใช้เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์จระเข้และถ่ายทอดมาถึงลูกทำให้เกิดความผิดปกติในการพัฒนาการของตัวอ่อน เช่น พิษของโลหะหนักต่าง ๆ พวก ปรอท สังกะสี และตะกั่ว ซึ่งบางครั้งก็ปนเปื้อนมากับน้ำที่ใช้เลี้ยงจระเข้ได้เช่นกัน

5. การบาดเจ็บกระทบกระเทือน
จระเข้เป็นสัตว์ที่มีความต้องการดินแดนหรืออาณาเขตเป็นของตัวเอง โดยจะมีการปกป้องหวงแหนมากน้อยขึ้นอยู่กับพันธุ์ ฉะนั้นปัญหาการกัดกัน แก่งแย่งกันจึงมักเกิดขึ้นและรุนแรงถึงตายเสมอ ยิ่งถ้าเลี้ยงกันในที่คับแคบและมีประชากรหนาแน่นมากเกินไป ทางแก้ไข จะต้องให้มีสัดส่วนจำนวนจระเข้ต่อพื้นที่ ลักษณะบ่อ การตกแต่ง แบ่งสันปันส่วนในบ่อเลี้ยง ฯลฯ

โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ หรือโรคที่เกิดจากเชื้อโรค (infectious diseases)
โดยเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคในจระเข้นั้นมีหลายชนิด ตั้งแต่ ไวรัส แบคทีเรีย พยาธิต่าง ๆ
โรคติดเชื้อเกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้

1.โรคติดเชื้อไวรัส (Viral infection) ไวรัสที่พบว่าสามารถทำให้เกิดโรคในจระเข้เท่าที่พบในเมืองไทย คือ ไวรัสตับอักเสบ (viral hepatitis and enteritis) พบว่าเกิดในลูกจระเข้ที่ฟักออกมาไม่นานนัก ทำให้ป่วยหรือตายโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการภายนอกมีจุดสีชมพูบนผิวตัว อาการภายในตับจะขยายใหญ่บวม สีซีดจาง ลำไส้บวม มีเลือดคั่งของเหลวในลำไส้สะสมเป็นจำนวนมาก พร้อมกับมีเลือดปน อุจจาระสีซีดเหลว โดยมากเป็นผนังลำไส้ที่ลอกหลุดปะปนออกมา การเกิดโรคนี้พบบ่อยครั้งในขณะที่มีอากาศเย็น ทั้งนี้ย่อมเป็นเหตุโน้มนำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลูกจระเข้ลดลง เชื้อไวรัสจึงแพร่ระบาดได้ง่าย หลังจากนั้นหากมีการติดเชื้อจากแบคทีเรียแทรกซ้อน ก็จะทำให้อาการทรุดลงเร็วขึ้นและตายไป
การป้องกันจึงควรคำนึงถึงการรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสมเสมอ เพื่อจระเข้จะได้มีภูมิคุ้มกันตลอดเวลา และหมั่นรักษาความสะอาด ทำการฆ่าเชื้อโรคอย่างสม่ำเสมอด้วยคลอรีน 2-4 พีพีเอ็ม (2-4 ส่วนในน้ำ 1 ล้านส่วน) หรือด่างทับทิม 10 พีพีเอ็ม ( 10 ส่วนในน้ำ 1 ล้านส่วน ) และผสมยาปฏิชีวนะลงในอาหาร เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

2. โรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย อาการเน้น ๆ ที่พบในจระเข้เลี้ยงในบ่อของเมืองไทยบ่อย ๆ มีดังนี้
ก. อาการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสโลหิตแบบฉับพลัน (acute bacterial septicaemia) สาเหตุเกิดจากเชื้อแอโรโมนาส ไฮโดรฟิลล่า, เชื้อซาลโมเนลล่า เดอร์บี้ การติดเชื้อในลูกจระเข้มักติดโดยผ่านสายสะดือ ทำให้มีอาการจุดเลือดออกบนผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามหน้าท้อง อาจมีอาการโคม่า ไม่รู้สึกตัวหรือตายภายใน 1 - 2 วัน
การป้องกันและรักษา โรคนี้ จะต้องแยกจระเข้ป่วยออกมารักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะตามผลการเพาะเชื้อ เพื่อเป็นการป้องกันการดื้อยาและยังทำให้การรักษาตรงตามเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็ควรรักษาความสะอาดและฆ่าเชื้อในบ่อเลี้ยง เพื่อลดการระบาด
ข. อาการตาอักเสบ (Ophthalmia) สาเหตุเกิดจากเชื้อซูโดโมนาส แอรูจิโรซ่า สเตรปโตคอคคัส โดยมีสาเหตุโน้มนำจากการขาดวิตามินเอ ความสกปรกของสถานที่เลี้ยงและ ความแออัด อาการของโรคมักพบว่า เกิดแพร่กระจายในลูกจระเข้ที่เกิดใหม่และอายุไม่เกินหนึ่งปีเป็นส่วนใหญ่ โดยมีน้ำตาและน้ำเหลืองไหลออกมาตลอดเวลาก่อน จากนั้นของเหลวจะจับกับเปลือกตา ทำให้จระเข้ไม่สามารถลืมตาได้ จำต้องหลับตาทั้งสองข้างตลอดเวลา จนในที่สุดมีแคลเซียมเข้าไปสะสมอยู่ ทำให้เกิดการอักเสบของหนังตาที่กระจกตา แล้วกระจายไปทั่วลูกตา ทำให้มองเห็นว่าจระเข้มีตาบวมปูดออกมาทั้งสองข้าง บ่อยครั้งที่พบว่าหนังตามีรอยแตกแขนงแล้วมีการติดเชื้อ เกิดผิวหนังอักเสบตามมาอีกด้วย ซึ่งบางคราวจะลามไปถึงหัว ลูกจระเข้ที่ป่วยไม่กินอาหารและไม่ลงน้ำ ทำให้แสดงอาการขาดน้ำ ขาดอาหาร ผอม และอาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนในระบบอื่น ทำให้ตายในที่สุด
การป้องกันและรักษา จะต้องแยกตัวป่วยออกมารักษา ล้างตาด้วยน้ำยาบอริค ป้ายตาด้วยยาคลอแรมเฟนิคอลชนิดเข้าน้ำมัน และฉีดคลอแรม 25 % ขนาด 10 มิลลิกรัม เข้าใต้ผิวหนังเปลือกตา ส่วนสถานที่เลี้ยงต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำให้สะอาด และอาหารต้องไม่ขาดวิตามินเอ
ค. อาการปอดบวม (Pneumonitis) มีสาเหตุจากเชื้อซูโดโมนาส, อี.โคไล, โปรเตียส ทำให้จระเข้มีอาการอ้าปากหายใจ ซึม เบื่อจนไม่กินอาหาร นอนผึ่งแดดตลอดเวลา และตายโดยไม่แสดงอาการเด่นชัด การป้องกันและรักษา ใช้หลักการเดียวกับการรักษาการติดเชื้อในการแสโลหิตแบบเฉียบพลัน ในกรณีของลูกจระเข้อาจเพิ่มอุณหภูมิภายนอกให้สูงขึ้นอีก 2 - 3 องศาเซลเซียส เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายเพิ่มขึ้น ยาที่ใช้ควรใช้วิธีฉีดจะได้ผลรวดเร็วและสะดวกกว่าวิธีอื่น แต่ต้องทำอย่างนุ่มนวล เพื่อไม่ให้สัตว์เกิดความเครียด

3. การติดเชื้อรา การเลี้ยงจระเข้ถ้าขาดการจัดการที่ดี สภาพบ่อสกปรก จะเป็นที่หมักหมมของเชื้อรา ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามร่างกายของจระเข้ได้ ที่พบว่ามีปัญหาบ้างคือ โรคผิวหนังอักเสบเนื่องจากเชื้อรา หรือการติดเชื้อราจากผิวหนัง (Mycotic Bermatitis) ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อ ฟิวซาเรียม (Fusarium) ทำให้จระเข้แสดงอาการเกิดจุดขาวบนผิวหนังโดยทั่วไป หากทิ้งไว้จะขยายใหญ่ เปลี่ยนสภาพเป็นแผลหลุดปกคลุมด้วยเนื้อเยื่อที่ตายแล้วสีน้ำตาล บางครั้งอาจพบฝ้าขาวบนลิ้นหรือเพดานช่องปาก ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อตัวอื่น เช่น แอสเปอร์จิลลัส ได้
การรักษา อาจให้ยากินจำพวกนิสตาติน หรือคีโตโคนาโซล ร่วมกับการทายาฆ่าเชื้อราบนผิวหนัง เช่น มิโคนาโซล และอาบน้ำที่มีด่างทับทิมในอัตรา 10 ล้านส่วนในน้ำ 1 ล้านส่วน (10 ppm)

4. การติดเชื้อพยาธิ
ก. พยาธิภายใน (Internal parasite) ที่พบในจระเข้ตามฟาร์มเลี้ยงในประเทศไทย คือ พยาธิในปอด มีชื่อว่า เพ็นตาสโตมิดา (Pemtastomida) โดยจะพบตัวแก่อยู่ในปอดหรือทางเดินหายใจบริเวณอื่น ๆ ไข่พยาธิชนิดนี้จะอยู่ในน้ำลายหรืออุจราระของแมลง หรือพวกหนู จะเป็นตัวนำโรคนี้ไปสู่จระเข้ตัวอื่น ๆ ทำให้จระเข้อ่อนแอลง เพราะพยาธิดูดเลือดจากเส้นเลือดฝอยของปอด มีพยาธิบางส่วนไชชอนไปมาทำให้เลือดออกมากขึ้น และเกิดติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน อาการที่แสดงออกของจระเข้อาจไม่เด่นชัด อาจสังเกตเห็นเพียงแต่จระเข้ที่มีพยาธิผอมลงทุกวัน แล้วตายไปเอง เมื่อผ่าซากจึงพบตัวพยาธิดังกล่าว มีลำตัวสีขาวเป็นปล้อง ๆ อยู่ในปอด
การป้องกันและรักษา ทำได้โดยใช้ยากำจัดพยาธิชนิดฉีดคือ ไอโวเม็คติน (ivomectin) ฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อด้วยขนาด 200 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมครั้งเดียว และหมั่นตรวจอุจจาระจระเข้อย่างน้อยเดือนละครั้ง ยาที่ให้ผลในการรักษาอีกอย่างคือ ซัลฟาคลอโรไพราซีล 30 % ผสมคลุกเคล้าในอาหาร ด้วยขนาดยา 1.5 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม กินติดต่อกัน 3 วัน หรือทำเป็นสารละลาย 3 % ป้อนผ่านท่อกระเพาะจระเข้ด้วยขนาด 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมวันละครั้งติดต่อกัน 3 วัน
ข. พยาธิภายนอก (External parasites) พยาธิภายนอกที่สำคัญกับจระเข้มีเพียงตัวเดียวเท่านั้นคือ ปลิงควาย โดยอาศัยอยู่ในปากของจระเข้ โดยดูดเลือดจากเหงือก ลิ้น ซอกฟัน เพดาน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทำให้เกิดอันตรายจากจระเข้ใหญ่ ๆ มากนัก ตามธรรมชาติแล้วนกเอี้ยงหรือนกกินแมลงบางชนิดมักเป็นผู้ช่วยกำจัดปลิงควายเหล่านี้ในขณะที่จระเข้นอนอ้าปากผึ่งแดด ส่วนการกำจัดปลิงควายที่มีในจระเข้เลี้ยง สามารถกระทำได้โดยใช้ปูนขาวละลายน้ำในบ่อจระเข้ ซึ่งนับเป็นวิธีง่าย ถูก และได้ผลดีที่สุด

การทำเครื่องหมายระบุตัวจระเข้
เนื่องจากจระเข้มีรูปร่างลักษณะที่ใกล้เคียงกันมาก ทำให้มิอาจบ่งบอกว่าตัวใดเป็นตัวใดอย่างเด่นชัดและแน่นอน ผู้เลี้ยงจึงจำเป็นต้องหาวิธีการที่เหมาะสมมาใช้เพื่อบ่งบอกหรือชี้ชัดให้ทราบและแยกแยะจระเข้แต่ละตัวออกจากกันอย่างแม่นยำ ถูกต้องที่สุดและทำการปลอมแปลงให้ได้ยากที่สุด
ประโยชน์จากการทำเครื่องหมาย
1. ใช้ในการจัดการผสมพันธุ์ ทำให้รู้ว่าลูกตัวใดเกิดจากพ่อแม่พันธุ์ตัวไหน ป้องกันการผสมในสายเลือดเดียวกัน ทำให้สามารถกำจัดพ่อแม่พันธุ์ที่มีพันธุกรรมบกพร่องออกไปซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการคัดเลือกสายพันธุ์ด้วย
2. ป้องกันและปราบปรามการลักขโมยจระเข้ได้ เพราะหากจระเข้ทุกตัวมีเบอร์หรือเครื่องหมายประจำตัวแล้วจะเป็นหลักฐานยืนยันทางกฎหมายได้
3. ใช้ในการขึ้นทะเบียนของจระเเข้แต่ละฟาร์มกับหน่วยงานที่ควบคุมกิจการเพาะเลี้ยงและขายจระเข้ไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือของเอกชนทำให้เกิดความเชื่อถือขึ้นว่าตั้งใจจริงที่จะทำการเลี้ยงจระเข้เชิงพานิชย์มิใช่ล่าเอาจากธรรมชาติ

วิธีการทำสัญลักษณ์
1. การตัดเกล็ดหาง
กระทำโดยตัดเกล็ดที่มีอยู่ 2 ข้างด้านบนของหางจระเข้ มักใช้กับลูกจระเข้ที่เกิดใหม่ เพราะทำได้ง่ายเพียงใช้กรรไกรปลายโค้งตัดเกล็ดก็ขาดแล้ว
ข้อดี - ทำง่าย ประหยัด รวดเร็ว ดูชัด
ข้อเสีย - ทำได้เฉพาะกับลูกจระเข้ เพราะจระเข้โตจะตัดเกล็ดลำบากมาก
- สามารถลอกเลียนหรือทำซ้ำกันได้ง่าย
- บางครั้งเกล็ดหางสามารถงอกออกมาตามเดิมหรือใกล้เคียง
2. ตัดนิ้ว
มักตัดนิ้วเท้าออกขณะเป็นลูกจระเข้โดยตัดที่ข้อปลายสุดของแต่ละเท้า แต่วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมนัก
ข้อดี - รวดเร็ว ประหยัด ง่าย
ข้อเสีย - อาจเกิดติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนหรือเลือดไหลไม่หยุด
- ดูลำบาก
- ค่อนข้างทารุณและก่อให้เกิดความเครียด
- ทำได้เฉพาะลูกจระเข้
- จำนวนหมายเลขจำกัดมาก
- ทำซ้ำได้
3. ใช้สีหรือสารเคมีทา
โดยการใช้สีน้ำมันหรือสารเคมี เช่น สารละลายซิลเวอร์ไนเตรท ( SILVER NITRATE ) ทาบนผิวหนัง
ข้อดี - สะดวก รวดเร็ว ประหยัด
ข้อเสีย - หนังเสียบางครั้งลบออกลำบากไม่หมดนัก
- นิยมใช้ชั่วคราว
- ลบเลือนหรือจางไป
- ทำซ้ำได้
4. จำเอกลักษณ์
ใช้การจดจำลักษณะเด่นของแต่ละตัว เช่น หางกุด บาดแผลทำให้เกิดรอยแผลเป็นตามที่ต่างๆ
ข้อดี - ไม่เสียค่าใช้จ่าย เห็นได้ชัดเจน
ข้อเสีย - เหมาะสำหรับการมีจระเข้จำนวนน้อย
- บางครั้งดูได้ลำบาก
- อาจเกิดซ้ำกันหรือลบเลือน
- ไม่น่าชื่อถือและใช้กับจระเข้ปกติไม่ได้
5. การติดเบอร์
โดยการใช้แผ่นพลาสติกแบบเดียวกับที่ใช้ติดเบอร์หูวัวมาเจาะติดกับเกล็ดที่มีอยู่ 2 ข้างด้านบนของหางจระเข้
ข้อดี - เห็นชัดเจน ไม่แพงนัก
ข้อเสีย - สามารถหลุดหรือฉีกขาด
- ทำซ้ำหรือลอกเลียนได้
- ตัวเลขเลือนลางหรือสีจางหายไป
6. การฝังหมายเลขอีเลคทรอนิคส์ หรือฉีดไมโครชิพ
นับเป็นวิธีใหม่แต่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย สุนัข นก สัตว์ทดลอง เป็นต้น โดยการฝังชิ้นส่วนหน่วยความจำรหัสเลขประจำตัว ซึ่งบรรจุในแคปซูลขนาดจิ๋วเข้าไปในกล้ามเนื้อโคนหางด้านซ้ายของจระเข้ซึ่งทำได้โดยฉีดผ่านเข็มฉีดยาเช่นเดียวกับการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ
เมื่อต้องการรู้หมายเลขประจำตัวสัตว์ก็เพียงแต่ใช้เครื่องมือสำหรับอ่านไปทาบตรงตำแหน่งที่ฝังหมายเลขไว้ ตัวเลขหรือรหัสประจำตัวจระเข้นั้นๆ จะปรากฏขึ้นที่จอภาพบนเครื่องอ่าน
ข้อดี - ไม่หลุดหรือหายไปไหน
- ทำเทียมหรือลอกเลียนไม่ได้
- มีความแน่นอนแม่นยำสูง
- เป็นที่เชื่อถือและยอมรับกันทั่วโลก
- ทำง่าย สะดวก และอ่านได้รวดเร็ว
ข้อเสีย - เพิ่มค่าใช้จ่ายขึ้น แต่ถ้าเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับแล้วนับว่าคุ้มมาก
- หากจระเข้อยู่ในระยะห่างมากๆ จะอ่านเลขได้ลำบาก

การครอบครองและจดทะเบียนฟาร์มจระเข้
ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ผู้ที่จะครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครองและทำฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแล สำหรับจระเข้ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดหนึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกรมประมง ดังนั้นเกษตรกรที่ต้องการครอบครอง ทำ ฟาร์มและค้าขายจระเข้ จำเป็นต้องขออนุญาตจากกรมประมงก่อน โดยติดต่อขอรายละเอียดได้ที่ประมงอำเภอ ประมงจังหวัด หรือกองอนุรักษ์ทรัพยากรประมง กรมประมง เพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติต่างๆต่อไป

จระเข้ที่ใช้เป็นสัตว์เศรษฐกิจ
จระเข้ที่นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจของประเทศไทยนั้นมี 2 ชนิดคือ
1. จระเข้น้ำจืด หรือ จระเข้พันธุ์ไทย
2. จระเข้น้ำเค็ม หรือ จระเข้ตีนเป็ดหรือไอ้เคี่ยม
สำหรับประเทศไทยแล้วนิยมเลี้ยงจระเข้น้ำจืดหรือจระเข้พันธุ์ไทยมากกว่าจระเข้น้ำเค็มทั้งนี้อาจเนื่องมาจากเหตุผลดังต่อไปนี้
1. พันธุ์จระเข้น้ำจืดหาง่ายกว่าพันธุ์จระเข้น้ำเค็มทั้งนี้เพราะมีฟาร์มที่เลี้ยงขายลูกจระเข้น้ำจืดอยู่หลายแห่ง
2. จระเข้น้ำจืดเลี้ยงให้ลูกเร็วกว่า คือ เริ่มเมื่ออายุ 10-12 ปี ส่วนจระเข้น้ำเค็มจะเริ่มเจริญพันธุ์ในตัวผู้เมื่ออายุ 16 ปี และตัวเมียที่อายุ 10 ปี
3. มีการนำลูกจระเข้น้ำจืดจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเลี้ยง จึงนับเป็นอีกแหล่งที่คอยสนับสนุนเรื่องพันธุ์มากขึ้น
4. ผู้คนเชื่อว่าจระเข้น้ำเค็มต้องเลี้ยงด้วยน้ำเค็มเท่านั้นจึงหันมาเลี้ยงพันธุ์น้ำจืดซึ่งหาแหล่งน้ำง่ายกว่า แต่ความเป็นจริงแล้วจระเข้น้ำเค็มสามารถเลี้ยงได้เป็นอย่างดีในน้ำจืด
5. พ่อแม่พันธุ์จระเข้น้ำเค็มมีน้อย ทั้งนี้เพราะในอดีตถูกล่าและส่งหนังออกขายยังต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากตลาดโลกนิยมหนังจระเข้พันธุ์น้ำเค็มมาก


จากเวป nicaonline.com

ไม่มีความคิดเห็น:

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...